จนถึงตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก เอ็นโกโล ก็องเต้ ยอดมิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศส ของเชลซี ที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์ฟุตบอลโลก รวมไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยกับ 2 สโมสรด้วยกัน เจ้าตัวสร้างชื่อในฐานะกองกลางตัวรับที่พา เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมม้ามึดนอกสายตาสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้ในฤดูกาล 2015/16 ชนิดที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน จากนั้นปีต่อมา สิงโตน้ำเงินคราม จึงจัดการกระชากตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัวเพียง 32 ล้านปอนด์ และในปีเดียวกันนั้นเอง ก็องเต้ พา สิงห์บลู เข้าป้ายเป็นแชมป์ลีกได้ทันที จนทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ พรีเมียร์ลีก ไปครองได้อย่างงดงาม
แต่แล้วในฤดูกาล 2018/19 การจากไปของ อันโตนิโอ คอนเต้ ถูกทดแทนโดยนายใหญ่คนใหม่ เมาริซิโอ ซาร์รี ที่ได้ทำการดึงตัวลูกรักอย่าง จอร์จินโญ จาก นาโปลี ติดตัวมาด้วยในปีเดียวกัน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บทบาทของสุดยอดมิดฟิลด์ตัวรับของ ก็องเต้ ต้องเปลี่ยนไปจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ !
เพราะแผน 4-3-3 สไตล์ “ซาร์รีบอล” คนที่ยืนจังก้าอยู่หน้าแผงหลังกลับกลายเป็น จอร์จินโญ แทนที่จะเป็นอดีตกองกลางจากทีมจิ้งจอกสยาม เพราะอดีตนายใหญ่จาก นาโปลี นั้น ต้องการตัวรับที่สามารถสร้างสรรค์เกมจากแดนตัวเองได้ นั่นจึงทำให้ ซาร์รี จำเป็นต้องมอบความท้าทายครั้งใหม่ให้กับ ก็องเต้ ด้วยการขยับเขาขึ้นไปยืนเป็น Box to Box มิดฟิลด์ คอยปั้นเกมรุกและวิ่งขึ้นลงตามสถานการณ์
ในช่วงแรกก็มีเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลอยู่พอสมควร แต่เมื่อ จอร์จี้ เริ่มคุ้นชินกับลีกเมืองผู้ดีมากขึ้น เขาก็ค่อย ๆ ลดคำครหาลงและเริ่มได้รับการยอมรับในฝีเท้ามากขึ้น แต่ทว่า… ภาระกลับมาตกอยู่ที่มิดฟิลด์หมายเลข 7 ที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งใหม่ แผนการเล่นใหม่ และแม้จะจบซีซั่นด้วยผลงาน 4 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ แต่เห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวถนัดเลยแม้แต่น้อย
กระทั่ง สิงห์ไฮโซ ต้องเริ่มต้นฤดูกาลใหม่กับกุนซือคนใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แฟรงค์ แลมพาร์ด อดีตตำนานนักเตะชื่อดังของสโมสร ผู้ซึ่งยังคงใช้แผนการเล่นหลักแบบ 4-3-3 และที่สำคัญ ซูเปอร์แฟรงค์ ยังคงยืนยันว่าคนที่เหมาะที่สุดในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับคือ จอร์จินโญ !
ซีซั่นนี้ ก็องเต้ ถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานจนหายหน้าหายต่อไปร่วม 3 เดือน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น… เพราะหลังจากเจ้าตัวกลับมาลงสนามได้ ป๋าแลมพ์ ยังคงยืนกรานจะให้เจ้าตัวลงเล่นในบทบาท Box to ฺBox ต่อไป ไม่เพียงแค่นั้น ในยามที่ทีมไม่มี จอร์จินโญ หรือถูกเปลี่ยนตัวออกไป คนที่ถูกจับมาเล่นตัวรับกลับเป็น มาเตโอ โควาชิช แทนอีกต่างหาก ซึ่งก็ไม่ทราบว่า แลมพาร์ด เห็นอะไรในตัว ก็องเต้ จึงไม่ต้องการให้เขาลงมาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นแน่ ๆ คือ ผลงานของทีม ที่แม้จะอยู่อันดับที่ 4 แต่จากการที่ ก็องเต้ ไม่ได้เล่นเกมรับแบบเต็มตัวนั้น ย่อมมีส่วนทำให้ ณ ปัจจุบัน พวกเขาเสียประตูไปแล้วถึง 34 ประตูในลีก ทั้งที่พึ่งจะผ่านครึ่งซีซั่นมาได้เพียงไม่กี่เกมเท่านั้น แน่นอนว่าของแบบนี้จะไปโทษว่า จอร์จินโญ เล่นรับไม่ดีก็คงไม่ถูก แต่เชื่อได้เลยว่าแฟน ๆ สิงห์บลู คงคิดเหมือนกันว่ามันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ถ้าคนที่ยืนประจำการตรงนั้นคือ เอ็นโกโล ก็องเต้ !
แม้การเล่นในบทบาท Box to Box ของ ก็องเต้ นั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ถึงกับแย่อะไร แต่ในหลาย ๆ เกมเราจะเห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าตัวทำได้แค่วิ่งไล่บอลไปมาในแดนกลาง และแทบไม่สามารถสร้างสรรค์จังหวะเข้าทำสวย ๆ หรือมีลูกยิงไกลจากแถวสองเพื่อสร้างอิมแพคในเกมรุกให้กับทีมได้เลย แม้จะมีความขยัน มีความเร็ว มีความแข็งแกร่ง เป็นทุนเดิม แต่ดูเหมือนจุดเด่นเหล่านั้นแทบไม่มีประโยชน์ใดใดเลยกับตำแหน่งตัวปั้นเกมที่เป็นอยู่ในเวลานี้
เพราะฉะนั้น จะดีกว่าหรือไม่ถ้าทีมเลิกฝืนดัน ก็องเต้ ไปยืนสูง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ตำแหน่งที่เจ้าตัวถนัด แล้วถอยให้เขากลับมายืนตำแหน่งที่ควรจะเป็น เหมือนสมัยที่ คอนเต้ พาทีมคว้าแชมป์ลีก เหมือนสมัยที่ รานิเอรี ค้นพบเพชรเม็ดงาม เหมือนสมัยที่ ดิดิเยร์ เดชองส์ สร้างประวัติศาสตร์พาฝรั่งเศสเป็นแชมป์โลกในรอบ 20 ปี นั่นก็เพราะในทุกเหตุการณ์ที่กล่าวมานี้ ล้วนแล้วแต่มีชายที่คอยยืนหนึ่งเป็นป้อมปราการก่อนถึงแดนหลังชื่อว่า “เอ็นโกโล ก็องเต้” คนนี้นั่นเอง…
ติดตามข่าวสารฟุตบอลได้ที่ BUAK 20.com
สนับสนุนโดยเว็บไซค์ ฟุตบอลอันดับ1 ufa88s.com