“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ในโลกของฟุตบอล”
ประโยคนี้ไม่รู้ว่าใครกล่าวเอาไว้ แต่นับตั้งแต่ที่โลกลูกหนังอ้าแขนต้อนรับโลกธุรกิจอย่างเต็มตัว หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่น่าเกิดขึ้นในวงการลูกกลมๆ มีลมอยู่ข้างใน ก็ได้ทำให้แฟนบอลทั้งโลกอ้าปากค้างกันมาแล้ว
อาจจะรวมไปถึงกรณีของ ลิโอเนล เมสซี และ บาร์เซโลน่า
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีข่าวแพลมออกมาจากฝั่งคัมป์ นู ว่ายอดนักเตะอันดับหนึ่งของโลกมีเรื่องมีราวไม่พอใจสโมสรต้นสังกัดของตนเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากบทสัมภาษณ์ของ เอริค อบิดัล ผู้อำนวยการกีฬาที่บอกว่า
สาเหตุที่ทีมล้มเหลวในช่วงที่ เอร์เนสโต บัลเบร์เด เป็นเฮดโค้ชนั้น เพราะมีนักเตะบางคนไม่มีความเป็นมืออาชีพ
พ่อหนุ่มลีโอได้ยินแบบนั้นก็ขึ้นสิครับ เพราะแฟนบอลทั้งโลกรู้ดีว่านักเตะคนใดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในทีม และสามารถชี้เป็นชี้ตายเทรนเนอร์แต่ละคนได้
เล่นเอา โฆเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรถึงกับต้องโร่วิ่งเคลียร์ใจทั้งสองฝ่าย จนสุดท้ายก็ดูเหมือนว่าจะสงบศึกกันได้
แต่แม้ศึกจะสงบ แต่อารมณ์มันก็ยังกรุ่นๆอยู่ นักข่าวก็เลยพยายามโยงเรื่องความบาดหมางนี้มาทางพรีเมียร์ลีก เพราะทางนี้มีนายเก่าชื่อ เปป กวาร์ดิโอลา ที่นั่งยิ้มหวานดูสถานการณ์ของอดีตศิษย์รักอยู่แบบห่างๆ
ว่าแล้วก็มีการจับแพะชนแกะว่า ด้วยความบาดหมางครั้งนี้ อาจจะสร้างรอยร้าวขึ้นในใจของดาวเตะอาร์เจนไตน์ขึ้นมา และคนที่จะสมานแผลนั้นได้ดีที่สุดก็คือ ยอดกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นี่แหละ
แต่จะว่าไปมันก็คงไม่ใช่การจับแพะชนแกะแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ เพราะเมื่อพิจารณาความเป็นไปได้แล้ว หากเมสซีจะย้ายออกจากถิ่นคัมป์ นู ก็คงเป็นเอติฮัด สเตเดี้ยม ที่มีความพร้อมทุกอย่างรองรับ
เงินค่าเหนื่อยมหาศาลขนาดไหนก็มีจ่าย ค่าตัวระดับไหนก็เรียกมา แถมทีมยังพร้อมที่จะประสบความสำเร็จอยู่ทุกปี พร้อมด้วยทีมงานคุณภาพที่ยกกันมาจากแคว้นคาตาลัน
นอกจากเปปแล้วยังมี เฟร์ราน โซเรียโน และ ซิกิ เบกิริสไตน์ ซึ่ง 3 คนนี้สนิทสนมกับเมสซีและครอบครัวเป็นอย่างดี
บวกกับปมด้อยเรื่องแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วย ทำไมพวกเขาจึงจะไม่ต้อนรับกองหน้าบาร์ซ่ากันล่ะ?
ในเมื่อทางฝั่งอังกฤษพร้อมอ้าแขนต้อนรับอย่างเต็มที่ ทีนี้ฝั่งสเปนจะว่าอย่างไร?แม้จะเคลียร์ปัญหากันได้แล้ว แถมยังมีข่าวว่าอบิดัลก็อยากจะเอาใจสตาร์บัลลงดอร์ 6 สมัย ด้วยการดึง เนย์มาร์ กลับมาร่วมทีมให้คึกคักเพื่อล่าแชมป์ทั้งในและนอกประเทศ
แต่ลึกๆมันมีอะไรมากกว่านั้น ทั้งเรื่องของรอยร้าวระหว่างนักเตะและบอร์ดบริหารในการปลดบัลเบร์เด, การแต่งตั้ง กีเก เซเตียน, เรื่องที่ไม่สามารถหากองหน้าตัวใหม่มาร่วมทีมในช่วงเดือนมกราคม และคำถามเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของสโมสรในช่วงหลัง
หากสังเกต “ภาษากาย” ของเมสซี ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดูเจ้าตัวเหนื่อยๆและสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลายามที่ลงสนาม นั่นเป็นเพราะการเป็น “เดอะ แบก” ของทีม และความล้มเหลวในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้เขาตกเป็นเป้าโดนวิจารณ์อยู่เสมอ
และเมื่อพิจารณาเรื่องการเสริมทัพนับตั้งแต่ที่ขายเนย์มาร์ให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ชนิดเป็นสถิติโลก พวกเขายังไม่เคยคว้าดาวเตะชื่อก้องมาแทนที่ช่องว่างตรงนั้นได้เลย ไล่กันมาตั้งแต่ ฟิลิปเป คูตินโญ, อุสมาน เดมเบเล
และล่าสุด อองตวน กรีซมันน์ ทั้ง 3 คนนี้บาร์โตเมวหวังที่จะมาแทนที่การจากไปของสตาร์บราซิเลียน แต่ท้ายที่สุดแล้ว 2 คนแรกต้องตีตราว่าล้มเหลวอย่างเต็มตัว ส่วนกรีซมันน์ก็ไม่แน่ใจว่าเขาผ่านจุดสูงสุดของอาชีพกับ แอตเลติโก มาดริด ไปหรือยัง
ดังนั้น เมื่อการเสริมทัพไม่ได้เรื่อง เมสซีก็ต้องแบกทีมกันต่อไป พร้อมกับสีหน้าที่ดูเหนื่อยหน่ายกับทิศทางของสโมสร
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัญหาดังที่กล่าวมานี้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ากองหน้าวัย 32 ปียังไม่เคยหลุดปากเรื่องการย้ายทีมแต่อย่างใด
เหมือนคนอยู่บ้านเดียวกัน เห็นหน้ากันบ่อยๆ ทำอะไรซ้ำๆเดิมๆอยู่ทุกวัน มันก็ต้องเบื่อเป็นธรรมดา แต่ถ้ามีอะไรให้ตื่นเต้นเข้ามาบ้าง ชีวิตก็อาจจะกลับมาสดในซาบซ่าเหมือนเดิม
ดังนั้น เมื่อมีข่าวเมสซีกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ท่านประธานที่เคารพอย่าง บาร์โตเมว จึงไม่รอช้าที่จะกางโปรเจ็คต์ในซัมเมอร์นี้ให้กับยอดกองหน้าขวัญใจชาวคาตาลันได้เห็นว่า “นี่น้อง ปีหน้าพี่เอาจริงแล้วนะ”
และยิ่งสัญญาของเจ้าตัวกำลังจะหมดลงในฤดูกาลหน้า บอร์ดบริหารยิ่งต้องเร่งทำอะไรซักอย่างเพื่อรั้งดาวเตะอันดับหนึ่งตลอดกาลของพวกเขาเอาไว้ให้ได้
ทั้งการเจรจาเรื่องสัญญาใหม่, การเสริมทัพ, การหากุนซือที่มีดีกรีและชื่อชั้นที่ดีกว่าลุงเซเตียน พร้อมกับตั้งเป้ากลับไปสู่การเป็นเจ้ายุโรปอีกครั้งก่อนแขวนสตั๊ด
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่กล่าวมาทุกอย่างแล้ว ข่าวกับแมนฯ ซิตี้ ก็อาจจะเป็นแค่น้ำจิ้มไปเลย
เมสซีย่อมรู้ดีว่าการย้ายทีมในวัยใกล้ปลดเกษียณเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ โดยเฉพาะการย้ายไปเล่นกับลีกสุดหินอย่าง พรีเมียร์ลีก คงไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไหร่ในช่วงบั้นปลายชีวิตค้าแข้ง เพราะจะว่าไป สภาพร่างกายของเขาในช่วงหลังก็ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก
ประกอบกับทุกคนที่คัมป์ นู ยังมองว่าเจ้าตัวคือ “เบอร์หนึ่ง” ทั้งในและนอกสนาม ทำไมจะต้องไปเริ่มต้นใหม่อะไรให้มันยุ่งยาก? สู้รอดูโปรเจ็คต์ใหม่ของทีมดีกว่า เพราะเชื่อว่าระดับบาร์เซโลน่าแล้ว ฟุบแค่ไม่กี่ปีเดี๋ยวก็กลับมายิ่งใหญ่ได้ถ้าทุกอย่างมันลงล็อก
หรือจะลองทาบทาม เปป กวาร์ดิโอลา กลับมารำลึกวันวานยังหวานอยู่ แบบนั้นน่าจะเวิร์คที่สุดแล้ว