เชื่อว่าตอนนี้ แฟนบอลจำนวนไม่น้อยกำลังเฝ้ารอคอยสุดยอดอภิมหาบิ๊กแมทช์แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อย่างเกม “แดงเดือด” ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล
ซึ่งเตรียมเปิดสนามแอนฟิลด์ รอบรับการมาเยือนของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในคืนวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม ที่จะถึงนี้
แน่นอนว่า การเจอกันของ 2 ทีมคู่อรินี้เป็นที่สนใจของแฟนบอลทั่วโลก และที่ผ่านมา ก็มีเกมแดงเดือดหลายแมทช์ที่มีโมเมนต์สำคัญให้แฟนบอลได้จดจำมาจนถึงปัจจุบัน ดังเช่น 5 แมทช์ต่อไปนี้
ฟอร์มบู่ “มู” ตกงาน (ลิเวอร์พูล 3-1 แมนฯ ยูไนเต็ด)
ถือเป็นเกมแดงเดือดที่เพิ่งผ่านไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งก่อนบุกไปเยือนลิเวอร์พูลในนัดนี้ ทัพปีศาจแดงอยู่ในช่วงฟอร์มกระท่อนกระแท่น อุณหภูมิเก้าอี้ของกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ กำลังเดือดปุดๆ
สุดท้ายสกอร์บอร์ดที่แอนฟิลด์จบลงด้วยชัยชนะแบบไม่ได้ยากเย็นอะไรนักของขุนพลหงส์แดง ด้วยสกอร์ 3-1 และหลังจากนั้นเพียงสองวันต่อมา มูรินโญ่ก็ได้รับรางวัลเป็น “ซองขาว”
กระเด็นตกเก้าอี้กุนซือ อันเนื่องมาจากความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในเกมแดงเดือด
เจอร์ราร์ด 38 วินาที (ลิเวอร์พูล 1-2 แมนฯ ยูไนเต็ด)
ฆวน มาต้า ยิงให้ทีมปีศาจแดงบุกมาขึ้นนำก่อน 1-0 ในครึ่งแรก ทำให้กุนซือเบรนแดน ร็อดเจอร์ อยู่เฉยไม่ได้ และจำเป็นต้องส่ง สตีเวน เจอร์ราร์ด ห้องเครื่องคนสำคัญลงมาช่วยทีมตั้งแต่ต้นครึ่งหลังหวังนำทัพหงส์แดงพลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้
แต่หลังจากผู้ตัดสิน มาร์ติน แอตกินสัน เป่านกหวีดเริ่มเกมครึ่งหลังไปได้เพียง 38 วินาที “กัปตันเจิด” ก็ต้องเดินคอตกออกจากสนาม หลังจากเจ้าตัวโดนใบแดงจากการไปจงใจย่ำใส่ อันเดร์ เอร์เรร่า สุดท้ายแมนฯ ยูไนเต็ดบุกมาคว้าชัย 2-1 และเป็นเกมแดงเดือดแมทช์สุดท้ายของเจอร์ราร์ดในยูนิฟอร์มของลิเวอร์พูลอย่างชอกช้ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะอำลาถิ่นแอนฟิลด์หลังจบซีซั่นดังกล่าว
แฮตทริกเบอร์บาตอฟ (แมนฯ ยูไนเต็ด 3-2 ลิเวอร์พูล)
การทำแฮตทริกได้นับว่าสะใจแล้ว แต่ยิ่งสามารถซัลโวแฮตทริกใส่ทีมคู่อริได้นั้นต้องเรียกว่าสะใจเสียยิ่งกว่าอะไรดี
แมทช์นี้เหมือนเป็นเกมที่สร้างขึ้นมาเพื่อ ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ อย่างแท้จริง เมื่อหัวหอกทีมชาติบัลแกเรียกดคนเดียว 3 เม็ดใส่ทีมหงส์แดง
โดยเฉพาะประตูที่สอง ซึ่ง “เบิร์บ” โชว์ลีลาโอเวอร์เฮดคิกยิงเข้าไปแบบสวยสดหมดจดหยดย้อยคะแนนเต็มร้อยก็ต้องให้ร้อยห้าสิบไปเลย
ฝันร้ายของวิดิช (แมนฯ ยูไนเต็ด 1-4 ลิเวอร์พูล)
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สังหารจุดโทษให้แมนฯ ยูไนเต็ดขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 23 แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนั้นหายนะกำลังจะมาเยือนพวกเขาโดยเฉพาะปราการหลังอย่าง เนมันยา วิดิช
เกมวันนั้น วิดิช โดน เฟร์นานโด ตอร์เรส เล่นงานจนเสียผู้เสียคน แถมยังเล่นผิดพลาดเองจนโดนใบแดงออกจากสนามในนาทีที่ 76 สุดท้ายเป็นลูกทีมของกุนซือราฟาเอล เบนิเตซ ที่บุกมาขยี้ยับ 4-1
มหัศจรรย์คันโตน่า (แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 ลิเวอร์พูล)
เกมนี้เป็นแดงเดือดเวอร์ชั่นศึกเอฟเอคัพ 1996 นัดชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ ทัพหงส์แดงมีแข้งชูโรงอย่างก๊วน อาทิ เดวิด เจมส์, เจมี่ เรดแน็ปป์, เจสัน แม็คเคเทียร์, สตีฟ แม็คมานามาน, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
ส่วนแก๊งเรดอาร์มี่นำมาโดย ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล, เดวิด เบคแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, รอย คีน, แอนดี้ โคล และ เอริค คันโตน่า
เกมนี้ทั้งสองทีมสู้กันได้อย่างสูสี และทำท่าว่าจะจบลงด้วยผลเสมอ 0-0 แต่ในช่วงก่อนหมดเวลาแค่ 5 นาที แมนฯ ยูไนเต็ดได้ลูกเตะมุม เบคแฮมบรรจงเปิดเข้ามากลางเขตโทษ
เดวิด เจมส์ นายด่านหงส์แดงออกมาชกบอลไปเข้าทาง เอริค คันโตน่า กระโดดถอยหลังยิงวอลเลย์ด้วยขวาจากนอกเขตโทษ ส่งบอลพุ่งตุงตาข่ายอย่างสวยงามและเป็นประตูชัยให้แมนฯ ยูไนเต็ดคว้าชัย 1-0 ครองแชมป์เอฟเอคัพในปีนั้นต่อหน้าแฟนบอลกว่า 79,000 คน
ขณะเดียวกัน ประตูนี้ของ “ก็องโต้” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในลูกยิงสุดคลาสสิคตลอดกาลในประวัติศาสตร์ของศึกฟุตบอลเอฟเอคัพอีกด้วย