ผ่านพ้นไปแล้วครึ่งทางสำหรับศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ พร้อมกับปีปฏิทินที่กำลังจะเปลี่ยนจาก 2019 ไปเป็น 2020 ว่าแล้ว
เรามาดูกันว่าแต่ละทีมโชว์ฟอร์มกันได้ดีมากน้อยแค่ไหน และทำผลงานออกมาได้อย่างที่ควรจะเป็นหรือเปล่า
สุดยอดทีมช่วงครึ่งซีซั่นแรกต้องยกให้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายอะไรมากสำหรับความยอดเยี่ยมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีม
เพราะเชื่อว่าแฟนบอลทุกคนคงทราบดีถึงความร้อนแรงของพวกเขากันอยู่แล้ว
แต่อีกหนึ่งทีมที่เรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์สุดๆ คือ “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่งเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา และไม่ได้มีแข้งสตาร์ดังประดับทีมเลย
แต่สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีเกินคาด โดยลูกทีมของกุนซือคริส ไวลเดอร์ รั้งอันดับ 8 ของตาราง มีแต้มห่างจากโซนไปเล่นฟุตบอลยุโรปเพียงแต้มเดียวเท่านั้น
แม้ช่วงหลังฟอร์มจะแผ่วไปบ้าง แต่ถือว่า เลสเตอร์ทำผลงานได้ดีเกินคาด โดยรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูงของตาราง ซึ่งถ้ายังรักษาฟอร์มดีต่อเนื่องเช่นนี้
กุนซือเบรนแดน ร็อดเจอร์สก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะได้ไปลุยเวทียูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในซีซั่นหน้า
ขณะที่เชลซี ถูกตั้งคำถามพอสมควรกับการไว้วางใจให้กุนซือหนุ่มที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากนักอย่าง “แฟรงก์ แลมพาร์ด” เข้ามารับบทแม่ทัพ
แถมต้องเจอปัญหาโดนแบนห้ามซื้อแข้งใหม่เข้าเสริมทัพ แต่สุดท้าย แลมพาร์ดก็สามารถพาทีมทำผลงานได้ไม่ขี้เหร่ โดยทีมสิงห์บลูเกาะอยู่อันดับ 4 หลังจากผ่านไป 20 นัด
วูล์ฟแฮมป์ตัน รั้งอันดับ 7 ซึ่งต้องยกนิ้วให้กับกุนซือนูโน่ ซานโต้ ซึ่งบริหารจัดการขุมกำลังได้ยอดเยี่ยม เพราะซีซั่นนี้ แข้งหมาป่าเป็นหนึ่งในทีมที่มีโปรแกรมเตะถี่ยิบที่สุด
โดยวูล์ฟส์ต้องลงเตะยูโรป้าลีกมาตั้งแต่รอบคัดเลือก รอบสอง กว่าจะได้เข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม และในที่สุดก็สามารถตีตั๋วเข้ารอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จ พร้อมๆกับผลงานในลีกที่เรียกว่าเกาะกลุ่มครึ่งบนของตารางอยู่ตลอด
ส่วน คริสตัล พาเลซ แทบจะไม่ได้เสริมทีมอะไรมากนักในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยใช้เงินไปแค่ประมาณ 10 ล้านปอนด์ แต่กุนซือรอย ฮอดจ์สัน ก็สามารถพาทีมทำผลงานได้น่าพอใจ
โดยอยู่อันดับ 9 และมีคะแนนห่างจากพื้นที่คว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลยุโรปแค่ 3 แต้มเท่านั้น
แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้เงินไปเกือบ 150 ล้านปอนด์เป็นค่าตัวของแดเนียล เจมส์, อารอน วาน บิสซาก้า และแฮร์รี่ แม็กไกวร์ ทว่าแข้งผีแดงกลับทำผลงานสามวันดีสี่วันไข้
แต่ยังดีที่พวกเขารั้งอันดับ 5 ยังได้ลุ้นติดท็อปโฟร์ บวกกับผลงานในบอลถ้วย ซึ่งเข้าถึงรอบตัดเชือกคาราบาวคัพ และเข้ารอบน็อกเอาต์ยูโรป้าลีก
เช่นเดียวกับ สเปอร์ส ที่ทำผลงานต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับซีซั่นที่แล้ว จนต้องเปลี่ยนตัวแม่ทัพจากเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ มาเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ฟอร์มของพวกเขาจึงกระเตื้องขึ้นมา
ไม่ต่างอะไรกับ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเสริมทัพไปมากมายในช่วงซัมเมอร์ แต่ผลงานกลับออกมาน่าผิดหวัง จนต้องดึงยอดกุนซืออย่างคาร์โล อันเชลอตติ เข้ามากู้วิกฤตแทน มาร์โก ซิลวา ซึ่งทำให้แข้งทอฟฟี่อาการดีขึ้นอย่างชัดเจน
ขณะที่ทีมอย่างเบิร์นลี่ย์ ไบรท์ตัน เซาธ์แฮมป์ตัน บอร์นมัธ อันดับเกาะกลุ่มอยู่ที่ 13-16 ตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานและศักยภาพของทีม เรียกว่าไม่ถึงขั้นแย่ แต่ก็ไม่ได้ดีเยี่ยมสักเท่าไร
การรั้งอันดับ 3 ของตาราง หากเป็นทีมอื่นอาจเรียกว่ายอดเยี่ยม แต่ถ้าเป็น “แชมป์เก่า” อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเรียกว่าย่ำแย่ ซึ่งกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอมรับว่าทีมของเขาฟอร์มดร็อปลงไปจริงๆ จนแทบจะหมดลุ้นป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกแล้ว
ส่วนนอริช ซิตี้ พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาในฐานะแชมป์ของลีกแชมเปี้ยนชิพ ซึ่งควรจะทำผลงานได้ดีกว่าทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาด้วยกันอย่างเชฟฯ ยูไนเต็ด และแอสตัน วิลล่า แต่กลับกลายเป็นว่าทีมนกขมิ้นเหลืองอ่อนคือ “ทีมบ๊วย” ของตารางพรีเมียร์ลีกอยู่ในเวลานี้
ขณะที่ วัตฟอร์ด ใช้กุนซือไปแล้วถึง 3 รายในซีซั่นนี้ เริ่มจากฆาบี้ กราเซีย ตามมาด้วย กิเก้ ซานเชซ ฟลอเรส จนล่าสุดเปลี่ยนมาเป็น ไนเจล เพียร์สัน ถึงจะทำให้ทีมเริ่มโชว์ฟอร์มเก่งออกได้บ้าง
หลังจากผลาญงบซื้อนักเตะไปกว่า 130 ล้านปอนด์ก่อนเปิดฤดูกาล แต่ปัจจุบัน อาร์เซน่อล รั้งอันดับ 12 เรื่องลุ้นแชมป์ไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ลุ้นท็อปโฟร์ก็ยังยากแล้ว แม้จะเปลี่ยนกุนซือจากอูไน เอเมรี่ มาเป็นมิเกล อาร์เตต้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าปืนใหญ่จะกลับมาสาดกระสุนใส่คู่แข่งได้เลย มิหนำซ้ำ อาร์เซนอลยังมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมนักเตะอีกทั้งเมซุต โอซิล และกรานิต ชาก้า
ส่วน เวสต์แฮม ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาใช้เงินไปเกือบ 100 ล้านปอนด์ แต่กลับต้องมาวนเวียนอยู่บริเวนโซนท้ายตารางจนกุนซือ มานูเอล เปเยกรินี่ โดนตะเพิดไปแล้วเรียบร้อย
ขณะที่ แอสตัน วิลล่า พวกเขาพยายามเตรียมตัวเป็นอย่างดีสำหรับการเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง โดยทีมสิงห์ผยองกว้านซื้อแข้งใหม่เข้ามาเสริมทัพกว่า 10 ราย ใช้เงินไปทะลุหลัก
100 ล้านปอนด์ แต่ผลงานกลับสวนทางกับเงินที่ใช้ไป โดยวิลล่ารั้งอันดับ 3 จากท้ายตาราง มีโอกาสร่วงกลับลงไปเล่นแชมเปี้ยนชิพเหมือนเดิม